วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำขวัญอุบลเมืองดอกบัวงาม


จังหวัดอุบลราชธานี กำหนดคำขวัญเพิ่มเติมจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและข้อเท็จจริงตามความเป็นอยู่ของประชาชนและสิ่งที่ดีงามที่เกิดขึ้นในจังหวัด ดังนี้
"อุบลเมืองดอกบัวงาม
แม่นำสองสี
มีปลาแซบหลาย
หาดทรายแก่งหิน
ถิ่นไทยนักปราชญ์
ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม
งามลำเทียนพรรษา
ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์
ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น
 ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล”

การสอนเขียนเรียงความ

การสอนเขียนเรียงความ

                                                                              ประสาร  บุญเฉลียว (ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ) นายกสมาคมครูมาสเตอร์ภาษาไทย  

                  ข้าพเจ้าเป็นครูภาษาไทย  และสอนภาษาไทยเป็นระยะเวลาประมาณ 3ปี  ดำรงตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษระดับ 8  โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช   จังหวัดอุบลราชธานี   จึงมีความชำนาญการพิเศษในการสอนวิชาภาษาไทย โดยเฉพาะการสอนเขียนเรียงความ
ความหมายของเรียงความตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546468) อธิบายคำว่าเรียงความไว้ว่า (น.) เรื่องที่นำข้อความต่างๆ  มาแต่งเรียบเรียงให้เป็นเรื่องราว  แต่งหนังสือที่ใช้พูด  เขียนกันเป็นสามัญ  ต่างจากลักษณะที่แต่งเป็นร้อยกรอง
                  การเขียนเรียงความคือ การนำถ้อยคำมาผูกประโยคแล้วเรียบเรียงเป็นเรื่องราว  เพื่อแสดงความรู้  ความเข้าใจ  ความรู้สึกนึกคิด  และประสบการณ์ของผู้เขียน  การจะเขียนเรียงความได้ดีต้องมีความรู้  ความเข้าใจในเรื่องของการใช้คำ

ปัญหาที่พบตลอดมาในการสอนเด็กมัธยมศึกษาทั้งตอนต้นและตอนปลายคือ
นักเรียนเขียนเรียงความไม่เป็น  ไม่รู้จะเขียนอะไร   แม้จะรู้ว่าจะเขียนอะไรก็ยังมีความบกพร่องในเรื่องการใช้คำ
 ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้โดย  สอนการใช้คำให้ถูกต้องก่อน     จึงสอนเรียงความ  และคุณครูควรศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ดังนี้ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้  คุณธรรม  มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข               มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ  การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต  โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ

มีจุดหมายหลายข้อ  และที่ครูภาษาไทยควรพิจารณาเป็นพิเศษคือ
             มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี  มีปัญญา มีความสุข... มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา   การใช้เทคโนโลยี  และมีทักษะชีวิต
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้น
พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์  ดังนี้
สมรรถนะ  [สะมัดถะนะ] น. ความสามารถ
สำคัญของผู้เรียน

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้
         1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ     การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจน          การเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
              2ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์  การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
    3ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
            4ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต  เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง        การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับ การเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
     5ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน  การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอัน       พึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข  ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก   ดังนี้
1.  รักชาติ  ศาสน์ กษัตริย์                      2.  ซื่อสัตย์สุจริต
3.  มีวินัย                                        4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง                              6.  มุ่งมั่นในการทำงาน
7.  รักความเป็นไทย                             8.  มีจิตสาธารณะ
นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง   
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด   มาตรฐานการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย   จำนวน 5  มาตรฐาน  5 สาระ  ดังนี้
สาระที่ 1    การอ่าน
มาตรฐาน  ท 1.1     ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
สาระที่ 2    การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1  ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ  เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่าง   มีประสิทธิภาพ
สาระที่ 3    การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1   สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
สาระที่ 4    หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน  ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย  การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา  ภูมิปัญญาทางภาษา  และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
สาระที่ 5    วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน  ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง

เรียนรู้อะไรในภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ  และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง
·      การเขียน  การเขียนสะกดตามอักขรวิธี   การเขียนสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ การเขียนเรียงความ  ย่อความ  เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า  เขียนตามจินตนาการ เขียนวิเคราะห์วิจารณ์  และเขียนเชิงสร้างสรรค์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด   จำนวนตัวชี้วัดชั้นปี /
ช่วงชั้น  จำแนกตามระดับชั้น ดังนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้
จำนวนตัวชี้วัดชั้นปี / ช่วงชั้น  จำแนกตามระดับชั้น
ม.1
ม.2
ม.3
รวม
ม.4-6
1. ภาษาไทย
35
32
36
103
36
รวม
35
32
36
103
36

คุณภาพผู้เรียน
         จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
 มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด  เขียนบรรยายบันทึกประจำวันเขียนจดหมายลาครู  เขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์   เขียนเรื่องตามจินตนาการ  และมีมารยาทในการเขียน
จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
   มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด และครึ่งบรรทัด เขียนสะกดคำ  แต่งประโยค  และเขียนข้อความ  ตลอดจนเขียนสื่อสาร  โดยใช้ถ้อยคำเหมาะสม  ใช้แผนภาพโครงเรื่องและแผนภาพความคิด  เพื่อพัฒนางานเขียน  เขียนเรียงความ  เขียนย่อความ  จดหมายส่วนตัว  กรอกแบบรายการต่างๆ  เขียนแสดงความรู้สึก  และความคิดเห็น  เขียนเรื่องตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์    และมีมารยาทในการเขียน

องค์ประกอบของเรียงความ มี  3  อย่างคือ 
คำนำ  คือส่วนที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจในงานเขียน เป็นจุดเริ่มต้นที่จะ
โยงความสัมพันธ์ไปสู่เนื้อหา  วิธีการเขียนคำนำมีหลายวิธี ส่วนจะเลือกวิธีใดนั้นควรพิจารณาให้เข้ากับเรื่องที่จะเขียนเป็นสำคัญ เช่น  การเล่าเรื่อง   การยกข้อความซึ่ง    ตัดตอนมากล่าว  การกำหนดหรือให้ความหมายของคำ   การยกคำประพันธ์ คำคม หรือสำนวน สุภาษิต   การตั้งคำถามหรือปัญหาที่น่าสนใจเพื่อให้ผู้อ่านอยากทราบคำตอบ
เนื้อเรื่อง  คือส่วนที่ผู้เขียนเสนอสาระสำคัญของเรื่อง ซึ่งต้องแสดงความรู้
ความคิด หลักฐานและข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและสมบูรณ์ ตรงตามหัวข้อเรื่องที่จะเขียน   ควรเขียนชื่อเรื่องไว้กลางหน้ากระดาษ  การเขียนเรียงความจะตรงประเด็นต้องอาศัยการวางโครงเรื่องที่ดี และการเขียนจะชัดเจนแจ่มแจ้งต้องอาศัยการใช้ภาษาที่เหมาะสม  เว้นที่ว่างริมกระดาษไว้ทั้งด้านซ้ายและขวาพองาม ไม่เขียนฉีกคำ   ผะอบ  โปษะกฤษณะ ( 2526 : 45 ) ได้กล่าวถึงลักษณะการใช้ภาษาที่ดีจะต้อง มีความชัดเจน   มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน   มีความสัมพันธ์ดี ดำเนินความไปเป็นลำดับต่อเนื่องกัน ไม่วกวน  มีความกว้างขวาง ผู้อ่านอ่านแล้วได้เพิ่มพูนทั้งความรู้และความบันเทิง  มีความประณีต  และมีความไพเราะงดงาม
คำลงท้าย  คือส่วนที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจสมใจ   คำลงท้ายที่
ดีจะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกับคำนำและเนื้อเรื่อง วิธีการเขียนคำลงท้ายมีหลายวิธี เช่น  การเขียนคำลงท้ายด้วยการย่อสาระสำคัญของเนื้อเรื่องเพื่อย้ำความ    การเขียน  คำลงท้ายเพื่อฝากความคิดเห็น   การเขียนคำลงท้ายด้วยคำประพันธ์ คำคม หรือสำนวน สุภาษิต (อย่าใช้ซ้ำกับคำนำการเขียนคำลงท้ายด้วยคำตอบ เมื่อตั้งปัญหาหรือคำถามในคำนำ
แนวการเขียนเรียงความเพื่อให้นักเรียนเขียนได้นี้  นี้  ศาสตราจารย์ฐะปะนีย์    
นาครทรรพ  ท่านได้นำเสนอไว้ว่า ขั้นตอนการเขียนเรียงความมี 3  ขั้นตอน  คือ
1.  เขียนแนวคิดให้กระจ่าง          
2.  ร่างโครงเรื่องให้เป็นระเบียบ
3.  เรียบเรียงเนื้อความให้สมบูรณ์

1.    เขียนแนวคิดให้กระจ่างการมีแนวคิดก่อนลงมือเขียนเรียงความนั้นมีความ
จำเป็นและสำคัญมาก  เพราะหากขาดแนวคิดที่จะเขียนแล้ว  การเขียนย่อมไร้ทิศทาง    เป็นสาเหตุให้เขียนวกวน  จับต้นชนปลายไม่ถูก
การจะกำหนดแนวคิดได้นั้น  นักเรียนจะต้องตีความจากหัวข้อเรื่องให้ได้ถูกต้องเสียก่อน  เช่น  ถ้าจะสอนเรื่อง  ชีวิตคือการเดินทาง  ครูอาจใช้เทคนิคการตั้งคำถามเพื่อช่วยให้นักเรียนคิดให้ได้เสียก่อนว่า เราจะเปรียบชีวิตกับการเดินทางได้อย่าง  คำตอบอาจจะได้ว่า  การเดินทางให้ประสบการณ์แก่เรา  เช่นเดียวกับวันเวลาที่ผ่านไปในชีวิตก็ให้ประสบการณ์เช่นกัน  ส่วนการเก็บเกี่ยวประสบการณ์หรือการรู้จักเลือกประสบการณ์หรือสิ่งที่เราพบเห็นมาใช้นั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะเลือกให้เหมาะสมแก่ตัวเรา  ดังนั้น  ต้องเน้นที่การเป็นคนช่างสังเกต  ถ้านักเรียนคิดแนวคิดหลักออกมาได้เช่นนี้แล้ว  นักเรียนก็พอนึก ออกว่าตนจะเขียนเรื่องไปในแนวทางใด
    3. ร่างโครงเรื่องให้เป็นระเบียบ  วิธีคิดโครงเรื่องนั้น  อาจใช้วิธีคิดออกมาเป็น
ประโยคย่อยก่อน  แล้วจึงนำความคิดเหล่านั้นมาเรียงลำดับใหม่ให้เหมาะสม  เช่น
-       การเดินทาง ให้ประสบการณ์แปลกใหม่แก่ชีวิต
-       ประสบการณ์ต่าง ๆ มีประโยชน์ช่วยให้เราเห็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
-       ตัวอย่างที่เห็นจากบุคคลอื่น  เป็นแนวทางให้นำมาคิดปรับใช้กับตนเองได้
-       การเลือกประสบการณ์ดี ๆ  มาใช้  ย่อมให้คุณประโยชน์แก่ผู้รู้จักเลือก
-       คนเราสามารถนำสิ่งที่พบเห็นในชีวิตมาเป็นแบบอย่างหรือเป็นครูได้
-       คนเราควรมีความคิดและวิจารณญาณมาขึ้นเมื่อวัยเพิ่มขึ้น
เมื่อได้หัวข้อของโครงเรื่องออกมาแล้ว  นักเรียนก็จะมองเห็นแนวทางที่จะเขียนได้ชัดเจนขึ้น
สิ่งที่อาจจะช่วยนักเรียนได้คือ  การตั้งคำถามเพื่อนำสนทนาไปสู่แนวคิด
การเขียนโครงเรื่องให้ได้  ต้องยอมเสียเวลาในห้องเรียนสำหรับขั้นตอนนี้
3.  เรียบเรียงเนื้อความให้สมบูรณ์  เมื่อนักเรียนลงมือเขียนได้บ้างแล้ว  บางคนอาจจะยังเขียนไม่ออก  ต้องช่วยตั้งคำถามนำความคิดต่อไป  แต่ถ้าได้พยายามแล้วนักเรียนยังเขียนไม่ได้อีก      อาจต้องย้อนมาดูที่ปัญหาอื่น ๆ  และหาทางแก้ไข  แล้วสอนเท่าที่นักเรียนจะสามารถทำงานได้โดยไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป  เพราะวิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่ต้องอาศัยทัศนคติ  และพื้นฐานที่ดีร่วมกับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  บางครั้งอาจจะจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนการสอนบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียน
อย่างไรก็ตาม  การเขียนเรียงความนี้  ต้องคำนึงถึงความรู้และประสบการณ์
ของนักเรียนเป็นสำคัญ  หัวข้อเรื่องต้องเหมาะสมแก่วัยและชั้นเรียน  หรือเป็นสิ่งที่กำลังอยู่ในความสนใจ  การเริ่มต้นเขียนต้องเริ่มจากง่าย     และใกล้ตัวนักเรียน  เพื่อช่วยให้นักเรียนเขียนได้ด้วยความมั่นใจ  การเริ่มต้นที่ไม่ยากจะกระตุ้นให้นักเรียนอยากเขียน  นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
และที่สำคัญที่สุดในการฝึกทักษะการเขียนเรียงความควรให้นักเรียนได้เห็น
ตัวอย่างการเขียนเรียงความที่ดีในหัวข้อเรื่องที่เหมาะสมกับเด็กและไม่ยาวนัก  ให้นักเรียนสังเกตการใช้ภาษา  ลำดับการเขียน  เนื้อหา  ฯลฯ  จากนั้นให้นักเรียนได้มีโอกาสทดลองเขียนดูบ้าง  อาจจะให้เขียนคนเดียวหรือช่วยกันเขียนก็ได้  และฝึกเขียนบ่อย ๆ
ข้อพึงระวังในการเขียนเรียงความ  (รศ.นพดล  จันทร์เพ็ญ)
1.    เขียนหนังสือให้อ่านง่าย รักษาความสะอาด  และเขียนสะกดการันต์ให้ถูกต้อง
2.    ต้องย่อหน้าใหม่ทุกครั้งเมื่อจะเริ่มเขียนใจความใหม่ ๆ
3.    ไม่ต้องมีคำขานรับ เช่น ครับ  จ้ะ ค่ะ หรือเขียนแบบสนทนาปราศรัย
4.    อย่าเขียนแบบตอบคำถาม เช่นเขียนว่า 1....2....3....จะกลายเป็นการตอบข้อสอบไป
5.    อย่าเขียนภาษาอังกฤษปนภาษาไทยโดยไม่จำเป็น
6.    อย่าใช้สำนวนต่างประเทศ เช่น  เขามาในเพลง  ทำไมถึงทำกับฉันได้
7.    อย่าเขียนข้อความลอย ๆ ต้องมีตัวอย่างอ้างอิงที่มีหลักฐาน  และถ้ามีสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องประกอบบ้าง  ก็จะทำให้ได้คะแนนดี
8.    อย่าใช้สำนวนไทยที่ไม่นิยม  เช่น  “ข้าพเจ้ายินดีที่ถูกเชิญมาปาฐกถา  ในภาษาไทยไม่นิยมใช้ ถูก  ในสิ่งที่ดีหรือเต็มใจ
9.    อย่าใช้คำศัพท์ที่ยังไม่เข้าใจความหมายดีพอ  เช่นจะใช้คำว่า ยกย่อง  ก็เขียนคำว่า
       “ยกยอ”  หรือ ดุษฎี  แทน  สดุดี  เป็นต้น  ความหมายก็ผิดไป
10.  ควรจดจำบทร้อยกรอง  เช่น  กาพย์  กลอน  โคลง  ฉันท์  ต่าง ๆ  ที่ไพเราะหรือ
       มีคติ  สอนใจเพื่อใส่ประกอบการเขียนเรียงความ  และอ้างอิงผู้เขียนด้วย  ถ้าจำ
       ไม่ได้ให้ใช้คำพูดว่า  กวีโบราณกล่าวไว้ว่า
11.  อย่าใช้สำนวนพุด  เช่น  เก่ง  ต้องใช้ว่า  ฉลาด  สำนวนพูดต่างๆ พอจะ
       ยกตัวอย่างได้ดังนี้
ภาษาพูด                                         ภาษาเขียน
ผู้ร้าย                                              คนร้าย
ขี้เกียจ                                            เกียจคร้าน
ไปเมืองนอก                                      ไปต่างประเทศ
สูบยา                                             สูบบุหรี่
12.  ควรเขียนเรียงความให้มีขนาดความยาวมากพอสมควร  คือโดยประมาณไม่ต่ำกว่า     
       2  หน้ากระดาษ  ไม่เว้นบรรทัด  ถ้าเรียงความประกวดต้องทำตามกติกา
13.  ต้องเขียนแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนลงในการเขียนเรียงความด้วย 
       และต้องเป็นความคิดเห็นที่เป็นกลางไม่เอียงซ้ายหรือเอียงขวาใด ๆ และควรเป็น
       ความคิดเห็นแบบสร้างสรรค์
14.  ก่อนลงมือเขียนต้องวางโครงเรื่องให้เป็นระเบียบ เป็นสัดส่วนเสียก่อน
15.  ต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่าจะเขียนเรื่องอะไร ไม่สองจิตสองใจ

สรุป  เมื่อได้หัวข้อเรียงความแล้วให้พิจารณาหัวข้อของเรียงความ   โดยตีโจทย์หัวข้อเรื่องของเรียงความให้กระจ่าง ร่างโครงเรื่องให้เป็นระเบียบ และเรียบเรียงเนื้อความให้สมบูรณ์   ให้เรียงความนั้นงามด้วยรูป  งามด้วยภาษา และงามด้วยท่วงทำนองการเขียน 

ครูต้องคำนึงถึงทฤษฎีเชื่อมโยงความสัมพันธ์  ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองของ  ธอร์นไดด์คือ กฎแห่งความพร้อม  (Law of  readiness ) มีหลักการว่า ผู้ที่พร้อมเท่านั้นจะสามารถกระทำแล้วเกิดความพอใจ   กฎแห่งการฝึกหัด  (Law  of  exercise)  มีหลักการว่า ถ้าได้กระทำหรือฝึกฝนและทบทวนบ่อย ๆ ก็จะกระทำได้ดีและเกิดความชำนาญ   กฎแห่งผล  (Law  of  effect)  มีหลักการว่า  ถ้าทำแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ  ก็อยากจะทำอีก  แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ผลดีก็ไม่อยากทำอีก     และต้องอาศัยการ
เลียนแบบ ตามทฤษฎี  Brain  Based  Learning หรือ BBL  กล่าวว่า สมองจะมีเซลสมองที่ทำหน้าที่คล้ายกระจกคอยสะท้อนภาพ  หรือ  แบบที่เห็น  แล้วเกิดการเลียนแบบเพื่อ “เรียนรู้”  ดังนั้นการมีตัวอย่างเรียงความที่ดี  ก็จะเป็นแบบอย่างให้นักเรียนได้ศึกษา  ทำให้เกิดการเลียนแบบตัวอย่างที่ดี  และสร้างสรรค์ผลงานเขียนเรียงความใหม่ออกมาได้
                
ความรู้เรื่องการเขียนเรียงความดังกล่าวนี้ข้าพเจ้าได้จากการศึกษาอบรม

บ่มเพาะจากประสบการณ์การสอนนักเรียนที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช  จังหวัดอุบลราชธานี  มาเป็นระยะเวลาประมาณ 3ปี  และนำไปทำประโยชน์คืออบรมสั่งสอนแก้ปัญหานักเรียนที่มีความบกพร่องในเรื่องการเขียนเรียงความให้สำเร็จ  ร่วมกับคณะครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ตั้งเป็นคณะวิทยากร  ประกอบด้วยคุณครูจิรายุส  เพ็ญชรี  คุณครูกมลรส  มิ่งขวัญ  คุณครูศิริเพ็ญ  ไชยยนต์ ร่วมคณะเป็นวิทยากรในระดับโรงเรียน  และขยายไปสู่ระดับเขตพื้นที่โดยตั้งเป็นคณะวิทยากรในนามชมรมครูภาษาไทย สพท.อบ.1 มีคณะทำงานประกอบด้วยคุณครูวิมลฉัตร  มีหนองหว้า  คุณครูสุกันย์  นางาม  คุณครูประนอม  สายแวว   พัฒนาส่งเสริมนักเรียนจนได้รับการคัดเลือกเข้ารับทุนข้าราชการพลเรือนศึกษาต่อต่างประเทศหลายคน  เช่น  นางสาวอรดาพร  ผิวเงิน  กำลังศึกษาต่อด้วยทุนรัฐบาลที่ประเทศญี่ปุ่น  นางสาวเพียงขวัญ  อธิปัตยกุล ม. 6/1  ชนะเลิศการเขียนเรียงความ เรื่องมุมมองของฉันที่มีต่อประชาคมอาเซียนในปี ค.ศ. 2015 และอนาคตของอาเซียนได้เงินรางวัล  150,000  บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท)  ฯลฯ