วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ศิลปะการดำเนินชีวิต

ศิลปะการดำเนินชีวิต

                     ประสาร  บุญเฉลียว (ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ) นายกสมาคมครูมาสเตอร์ภาษาไทย 

คนเราทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรต่างปรารถนาความสุขในชีวิตอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น  มีฐานะที่มั่นคง  แต่จะมีสักกี่คน  กี่ครอบครัว  ที่ประสบความสุขความสมหวังที่แท้จริง เพราะสภาพชีวิตปัจจุบันเต็มไปด้วยความขุ่นมัว  มีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ  ความขัดแย้งและความทุกข์  และเมื่อใครก็ตาม  มีความทุกข์บรรยากาศรอบตัวเขาเหล่านั้นก็พลอยได้รับผลกระทบไม่สบายใจไปด้วย    ลำพังฐานะที่มั่นคง  มิได้เป็นคำตอบว่าจะมีความสุขในการดำเนินชีวิตเสมอไป   บางคนมีฐานะต่ำต้อย  เขาอาจมีความสุขในชีวิตก็เป็นได้   อะไรคือคำตอบ   อะไรคือสิ่งประกันให้คนเรามีความสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตกันแน่
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เพียรพยายามค้นหาคำตอบเช่นกันทั้งที่เป็นครูสอน
โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด  มีฐานะที่มั่นคง มีการศึกษาสูง  มีภรรยา  มีลูกที่น่ารัก         มีอาชีพที่มีเกียรติในสังคมชีวิตก็มิได้มีความสุขเท่าที่ควร  จึงแสวงหาหนทางที่ดีกว่าเพื่อจะได้พบความสุขที่แท้จริง  และในฐานะที่เป็นคนอุบลราชธานี ได้สัมผัสรับรู้เรื่องราวของ   พระมหาเถระผู้โด่งดังหลาย  ท่านเช่น    หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต  หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล          และหลวงพ่อชา  สุภัทฺโท มาโดยตลอด จึงได้ศึกษาธรรมะของท่านและนำมาฝึกปฏิบัติพัฒนาจิตใจตามแนวทางที่ท่านสอนไว้  จนสามารถยกระดับจิตใจตนเองให้สูงขึ้นและมีความสุขได้ระดับหนึ่งเท่านั้น  ซึ่งอาจเกิดจากที่เราไม่ได้ลงมือฝึกปฏิบัติตามแนวทางของท่านอย่างเต็มที่เต็มกำลัง  หรืออาจไม่สอดคล้องกับจริตนิสัยของเราก็เป็นได้   จึงยังไม่ได้ทรงไว้ซึ่งความสุขอย่างยั่งยืน
จนกระทั่งในปี 2538  มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งได้แนะนำให้ข้าพเจ้าไปปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า แบบเต็มหลักสูตรที่มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์  ศูนย์ฯ ธรรมกมลา  อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ในช่วงปิดภาคเรียน 10 วันต่อเนื่องกันในเดือนเมษายนปีนั้น   จึงเริ่มพบบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตเป็นความสุขสงบที่เกิดจากภายใน   และข้าพเจ้าขอเรียกแนวทางนี้ว่า ศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต
การฝึกศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต คือการฝึกวิปัสสนาแนวอาจารย์โก
เอ็นก้า ซึ่งสืบทอดวิธีการจากท่านอาจารย์อูบาขิ่น (วิปัสสนาจารย์ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่งผู้หนึ่ง)   จนแพร่หลายไปทั่วโลก  สำหรับในประเทศไทยนั้นมีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่   ศูนย์ฯ ธรรมธานี เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ  ศูนย์ฯ ธรรมกมลา อ.เมือง  จ.ปราจีนบุรี  ศูนย์ฯ ธรรมอาภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก  ศูนย์ฯ ธรรมสุวรรณา           อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น  ศูนย์ฯธรรมกาญจนา อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี    
วิปัสสนาหมายถึง[1] "การมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง"  อันเป็น
กระบวนการในการทำจิตให้บริสุทธิ์โดยการเฝ้าดูตนเอง  เริ่มต้นด้วยการเฝ้าสังเกตดูลมหายใจตามธรรมชาติ เพื่อทำให้จิตมีสมาธิ เมื่อมีสติที่มั่นคง    และก้าวไปสู่การเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกายและจิต  ซึ่งจะทำให้ได้พบกับสัจธรรมที่เป็นสากลคือ ได้พบความไม่เที่ยง(อนิจจัง) ความทุกข์ (ทุกขัง) และความไม่มีตัวตน (อนัตตา)ของตัวเราเอง  ผ่านการเฝ้าสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา   การที่ได้รู้เห็นถึงสภาพธรรมตามความเป็นจริงเหล่านี้จากประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติเองโดยตรง จึงเป็นวิธีการใน      การชำระจิตให้บริสุทธิ์
วิปัสสนาเป็น  วิธีการในการขจัดความทุกข์  ทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้
คนเราสามารถเผชิญกับความตึงเครียดและปัญหาในชีวิตได้ด้วยความสงบและความสมดุลทางจิตใจ และเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิตที่จะทำให้คนเราอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
การเตรียมตัวสำหรับผู้ฝึกปฏิบัติ
จะต้องส่งใบสมัครไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมข้างต้นเมื่อไปรับการยืนยันจึงจะเข้ารับการฝึกปฏิบัติได้  โดยต้องเตรียมการหลายอย่าง  อาทิ  เตรียมกาย  เตรียมใจ   
การเตรียมกาย  เช่น
ผู้เข้าฝึกทุกคนควรจะสร้างความรู้สึกว่า  ตนเองกำลังปฏิบัติอย่างจริงจัง
เสมือนอยู่คนเดียว  มีการแยกชายหญิง  ห้ามนำของมึนเมาเข้ามา   หากจะต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง จะต้องแจ้งให้อาจารย์ผู้สอนทราบล่วงหน้าตลอดระยะเวลาการฝึก
ศูนย์ฯฝึกจะจัดอาหารมังสวิรัติ ให้ผู้เข้ารับการฝึกทุกคน  เสื้อผ้าที่ใช้ควรเรียบ
ง่ายและสวมสบาย  ไม่จำกัดสีหรือแบบ  แต่ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดตึง โปร่งบาง  เสื้อไม่มีแขน หรือกางเกงรัดรูป  และห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นทั้งชายหญิง 

ผู้เข้ารับการฝึกจะต้องงดการโทรศัพท์ การเขียนจดหมาย และการพบปะกับ
ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน  นอกจากในกรณีฉุกเฉิน ห้ามเล่นดนตรี ฟังวิทยุ และห้ามนำสิ่งที่ใช้เขียน หรืออ่านเข้ามาในสถานที่ฝึก  เพื่อที่จะได้ปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างเคร่งครัด  เครื่องบันทึกเทปและกล้องถ่ายรูป  สิ่งเหล่านี้จะใช้ได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากอาจารย์ผู้สอนเป็นพิเศษเท่านั้น
นาฬิกาปลุก นาฬิกาข้อมือที่มีเสียงบอกเวลา ห้ามนำมาใช้ในห้องปฏิบัติรวม
อย่างเด็ดขาดและไม่ควรใช้นาฬิกาปลุกในที่พัก  เพราะจะเป็นการรบกวนผู้อื่น
การเตรียมใจ
ผู้ฝึกปฏิบัติทุกคนจะต้องเตรียมใจและฝึกใจเพื่อรักษาศีล
กระบวนการทำจิตให้  บริสุทธิ์นั้นจะเกิดขึ้นจากปัญญา คือการรู้แจ้งเห็นจริง   ผู้เข้า
ปฏิบัติวิปัสสนาทุกท่านจะต้องรักษาศีล 5 ศีล อย่างเคร่งครัด

ผู้เข้ารับการฝึกทุกคนจะต้องรักษาความเงียบ นับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกวันแรก
จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย  การรักษาความเงียบนี้ รวมไปถึงความเงียบทั้งทางกาย วาจา และใจ  โดยจะต้องไม่มีการพูดจากับใครเลย  และจะต้องงดการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็หากจำเป็นสามารถติดต่อกับผู้ดำเนินงานได้หากมีปัญหาเกี่ยวกับที่พัก อาหาร และอื่นๆ  แต่การติดต่อพูดจาเหล่านี้ ก็ควรมีให้น้อยที่สุด
ขั้นตอนการฝึกมี 3 ขั้นดังนี้ [2]
ขั้นตอนแรกคือการรักษาศีล  ศีลจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาสมาธิ  และกระบวนการทำจิตให้บริสุทธิ์นั้นจะเกิดขึ้นจากปัญญาคือการรู้แจ้ง       
เห็นจริง   ผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาทุกท่านจะต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัด  จะช่วยทำให้จิตใจสงบลง  จนพร้อมที่จะเข้าถึงความจริงในตัวเอง

ขั้นตอนต่อมาคือสมาธิ  การพัฒนาความสามารถในการควบคุมจิตที่
ควบคุมได้ยาก ด้วยการฝึกให้จิตเพ่งความสนใจไปที่วัตถุอย่างเดียว คือลมหายใจ    พยายามเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจให้นานที่สุด   แต่เป็นการสังเกตลมหายใจตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่  ทั้งในขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก  การกระทำเช่นนี้จะทำให้จิตสงบยิ่งขึ้น  จิตจะปราศจากกิเลสที่รุนแรง  ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้จิตมีสมาธิที่แหลมคมพร้อมที่จะสำรวจความจริงในตัวเอง

ขั้นตอนที่สาม  คือการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส  โดยพัฒนา
ปัญญาให้เห็นธรรมชาติของตนเอง  นี่คือการปฏิบัติวิปัสสนาซึ่งเป็นการมองความจริงภายในร่างกายและจิตใจ  จะมีการสังเกตอย่างเป็นระบบ  ทำอย่างปล่อยวาง  สังเกตเข้าไปในปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของกระบวนการนามรูป  ซึ่งแสดงตัวออกมาเป็นความรู้สึกที่ร่างกาย  นี่เป็นสาระสำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้า  คือการชำระจิตใจบริสุทธิ์ด้วยการสังเกตตนเอง

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทดลองฝึกปฏิบัติตั้งแต่ปี พุทธศักราช  2538 ก็เกิด
การเปลี่ยนแปลงในด้านจิตใจของตนเองหลายอย่าง  โดยเฝ้ามอง  สังเกต  ชื่นชมกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและฝึกฝนต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 15  ปี จนปัจจุบันก็เห็นผลสัมฤทธิ์ของจิตใจตนเองสูงขึ้นมีทุกข์น้อยลง เข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องศิลปะแห่ง        การดำเนินชีวิต

จากประสบการณ์การฝึกปฏิบัติของข้าพเจ้าหลายครั้งพบว่า   เมื่อนั่ง
วิปัสสนาไปได้ประมาณ ชั่วโมง  จะมีอาการปวดเมื่อยที่ขามากเพราะอาจารย์สั่งให้นิ่งๆอย่าขยับ  ผ่านเข้าสู่ชั่วโมงที่ 2 ความปวดทวีความรุนแรงขึ้นจนขาจะขาดให้ได้  จึงตั้งจิตใหม่ให้เฝ้าดูและอย่าไปผูกพันกับความรู้สึกที่อยากหายปวด  เพราะเมื่อใดที่ “ความอยากเข้ามาผสมโรง  จะยิ่งปวดเป็นหลายร้อยเท่า    หลังจากนั้นตัดใจเลยว่าจะตายก็ขอให้ตายไปเลย  ยอมเสียสละเพื่อธรรม   เพื่อพบสิ่งที่ดีกว่า  พอใจของเรายอม (วาง)   จิตไม่ไปเกาะกับความปวดที่ขา  ความปวดหลุดผลัวะออกไปเลย  ก็เลยเกิดปัญญาขึ้นมาด้วยตนเอง  ถ้าจะเรียกว่าเป็น ภาวนามยปัญญาก็คงไม่ผิด  ว่าทุก ๆ ความรู้สึกจะอยู่ภายใต้กฎเดียวกันคือกฎอนิจจัง  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเมื่อทำใจให้เป็นอุเบกขา (วาง)

ถ้าเมื่อใดจิตของเรามีความทุกข์ (กิเลส)  เข้ามาครอบงำ (อาการที่เกิดใน
ร่างกายเช่นปวดทรมาน = ทุกข์)  แล้วจิตของเราก็ควรแค่เฝ้าดู (แค่สังเกตดูไม่ต้องร่วมผสมโรง(สังขาร =อยากหายปวด = ตามธรรมชาติของจิต  คือถ้าสบาย = ดูดเข้า,ถ้าทุกข์ = จะผลักออก)  ความทุกข์(กิเลส)นั้นก็จะค่อยๆหายไปเอง  ทั้งนี้เราต้องมี  ศีล  สมาธิ  สติ  ปัญญา  และกำลังใจที่เข้มแข็งไม่กลัว  เป็นเครื่องมือกำกับ ตลอดเวลา

ใครก็ตามที่ฝึกปฏิบัติแล้วจะมีภูมิคุ้มกันจิตใจมีศิลปะในการดำเนินชีวิตเมื่อใด
เกิดกิเลสขึ้นในใจ  จะมีปรากฏการณ์ทางกายเกิดขึ้น 2 อย่าง   อย่างแรกลมหายใจจะผิดปกติ  ลมหายใจแรงขึ้น  ลมหายใจจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย  ส่วนอย่างที่สองจะเกิดขึ้นในระดับที่ละเอียดกว่า  จะมีปฏิกิริยาทางชีวเคมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย  ซึ่งจะปรากฏออกมาเป็นความรู้สึกขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย   ลมหายใจและความรู้สึกจะช่วยเราได้ 2 ทาง  คือคอยเตือนเราเหมือนเป็นเลขานุการส่วนตัว  ทันทีที่กิเลสอันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์เกิดขึ้นในจิต  ลมหายใจของเราจะผิดปกติ  เช่นเดียวกับความรู้สึกทางกายของเราจะบอกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น   เมื่อเราได้รับการเตือน  แล้วเราหันมาสังเกตลมหายใจ  หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น โดยไม่ไปร่วมสังฆกรรมใดๆ ด้วย  เพียงเฝ้าดู  อย่างผู้ดู  ด้วยใจที่เป็นกลาง  จะพบว่ากิเลส(ความทุกข์)นั้นจะค่อยๆสลายตัวไป

จึงกล่าวได้ว่าทุก  ความรู้สึกที่เข้ามาในจิตใจเราให้ตามดู  รู้ทัน  วางท่าทีที่
ถูกต้องกับสิ่งนั้น  ไม่ต้องไปจัดการกับกิเลสด้วยการผลักมันออกไป   เพราะเราไม่มีทางชนะธรรมชาตินั้นได้  และธรรมชาติในแต่วันที่เราดำเนินชีวิตนั้น  จะมีสิ่งกระทบวิถีชีวิตตลอดเวลาทั้งที่เราชอบใจและไม่ชอบใจ     ทำให้จิตใจเกิดความไม่สมดุลขึ้นๆ ลง   วูบไปไหวมาทั้งวัน  แต่เมื่อเราผ่านกระบวนการฝึกให้เกิดมีศิลปะในการดำเนินชีวิตแล้ว  จิตใจดวงเดิมก็จะเปลี่ยนความเคยชินเป็นใจดวงใหม่  เป็นใจที่เกิดใหม่แต่อยู่ในร่างเดิม  เป็นใจที่ปล่อยวาง (อุเบกขาได้ง่ายขึ้นต่อทุกเรื่องราวที่กระทบใจ ทั้งชอบ ทั้งชัง  ไม่ร่วมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับมัน  ชีวิตก็จะผาสุก  ยิ่งขึ้น  การดำเนินชีวิตก็สงบ  สันติยิ่งขึ้น  มีความสุขยิ่งขึ้นเพราะมีศิลปะในการดำเนินชีวิต นั่นเอง  และข้าพเจ้าก็พบความสุขที่สงบเย็นของชีวิตเช่นเดียวกัน ยิ่งได้มาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้นำศีล  สมาธิ  ปัญญา  มาทรงไว้ในชีวิตประจำวัน  ยิ่งพบความสุขที่ยั่งยืนและถาวรอย่างแท้จริง

ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า..
จิตที่ฝึกดีแล้ว   ย่อมนําความสุขมาให้  การฝึกจิตให้ดี   ย่อมสําเร็จประโยชน์



หนังสืออ้างอิง

สัตยา  นารายัน  โกเอ้นก้า. (2537). ธรรมบรรยาย  (พิมพ์ครั้งที่ 2),กรุงเทพมหานคร:  
            มูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐาน.
อาจารย์โกเอ็นก้า.  คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาค้นเมื่อ 12  ตุลาคม
            2552, จากhttp://www.thaidhamma.net/index.php?option=com_content&task 
อาจารย์โกเอ็นก้า. (2552). ศิลปะการดำเนินชีวิตและตายแล้วไปไหน ( พิมพ์ครั้งที่ 2),
            กรุงเทพมหานคร :  พิมพ์ดี.





   ที่มา. จาก  คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา, ค้นเมื่อ 12  ตุลาคม 2552, จาก http://www.thaidhamma.net
[2]  ที่มา. จาก  ศิลปะการดำเนินชีวิตและตายแล้วไปไหน (พิมพ์ครั้งที่ 2, หน้า10–12),โดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า,2552,      
    กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ดี.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น